Ploy Sutinee
Design Director
มีปัจจัยหลายอย่างที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายว่า product หนึ่งจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ปัจจัยที่เรียกได้ว่าแทบจะสำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้น จำนวน user และความพึงพอใจที่ได้จากการใช้งาน (User Experience, UX) เพราะถ้าคนใช้น้อย หรือ ลองใช้แล้วไม่พอใจ ไม่ใช้ซ้ำ การที่เสียเงินในการทำตลาดเพื่อเพิ่มจำนวน user แต่ไม่สามารถรักษาไว้ได้ ก็จะทำให้ธุรกิจไปต่อได้ยาก
ครั้งนี้ Bootcamp ของ dtac accelerate ได้เชิญวิทยากรระดับโลก Dr. Jacob Greenshpan ผู้มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี ในการออกแบบ UX, ได้รับการแต่งตั้งเป็น Advisory board ของโครงการ Google Launchpad ที่ให้คำแนะนำด้าน UX แก่สตาร์ทอัพทั่วโลก และมีประสบการณ์เคยช่วยสตาร์ทอัพที่มีปัญหาธุรกิจไม่โต โดยช่วยปรับเปลี่ยน product ปรับปรุง UX ให้ตอบโจทย์ลูกค้าได้สำเร็จ จนทำให้สตาร์ทนั้นสามารถเพิ่มจำนวน user และเติบโตไปในระดับภูมิภาคได้
Dr. Jacob ได้มาแชร์ประสบการณ์และเทคนิคต่าง ๆ เพื่อให้เหล่าสตาร์ทอัพเข้าใจหลักการสำคัญในการทำ product ซึ่งประกอบไปด้วย
ผู้อ่านลองสังเกตตัวเองดูได้ว่า app ไหนที่ใช้บ่อย app ไหนที่ download มาแต่ก็ไม่เคยใช้ app ไหนที่ลองใช้ไปครั้งเดียวแล้วไม่ใช้อีกเลย ไม่แน่ว่าอาจลูกค้าของเราก็อาจเป็นแบบนี้ก็ได้ เราจึงต้องหาวิธีที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับ user ของเรา โดยต้องมีกระบวนการออกแบบ ทดสอบ และเก็บ feedback อยู่เสมอ
ขั้นแรกเริ่มในการทำสตาร์ทอัพ คือ ต้องทำความรู้จัก user ก่อน ว่าเป็นใคร มีพฤติกรรมยังไง มี pain อะไร แล้วเราต้องไป validate ต่อว่ามีคนแบบนี้จริงในจำนวนหนึ่ง สามารถดูตัวอย่างการทำ User Persona ได้ในบทความ Customer Validation by Scott Bales
ในส่วนของการทำ product ต้องศึกษา user เพิ่มเติมด้วยว่าเขามี Mental model ความเชื่อ ความคิด ประสบการณ์ในชีวิตของเขาเป็นอย่างไร เรื่อง Mental model สำคัญเพราะวิธีการความเข้าใจโลกของแต่ละคนแตกต่างกัน
ถ้า product ของเราเป็นสิ่งใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน การจะอธิบายให้คนเข้าใจว่ามันคืออะไรเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราสามารถเชื่อมโยงสิ่งนั้นเข้ากับ Mental model ของเขา จะช่วยให้เขาเข้าใจได้ทันที ดังตัวอย่าง
Google doc ตอนเพิ่งเปิดตัวครั้งแรก คนไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่มีปุ่ม save ทำไมคนอื่นถึงเข้ามาใช้งานแก้ไขเอกสารได้พร้อมกัน Mental model ของ user คือ Microsoft word ในกรณีนี้ เห็นได้จากคำถามที่ user ถามเพื่อเปรียบเทียบ เราจึงสามารถอธิบายเขาได้ว่า Google doc is like Microsoft word but on cloud
อีกตัวอย่างหนึ่ง ย้อนกลับไปอีกในสมัยที่ เครื่องพิมพ์ดีด เพิ่งออกมา Mental model ของคนสมัยนั้นคือการเขียนบนกระดาษ เราสามารถอธิบายว่า Think of it like paper, but with keyboard instead of pen
เพียงเท่านี้ user ก็จะเข้าใจเบื้องต้นว่า product เราคืออะไร ทำอะไรได้ แล้วอาจทดลองใช้ดู นำไปสู่ขั้นตอนต่อไปของเราที่ต้องทดสอบการใช้งาน product
ตัวเราเองรู้จัก product ของเราดีที่สุด แต่ถ้าเราเอา product ของเราไปให้คนที่ไม่เคยเห็นมาก่อนใช้ล่ะ? เขาจะใช้เป็นไหม เขาจะเข้าใจไหมว่าต้องกดตรงไหน ทำอย่างไร เขาจะเข้าในไหมว่า product เราสามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง เราจึงต้องมีการทดสอบนี้เพื่อหาคำตอบ เพราะถ้าเราปล่อย app ไปแล้วคนใช้ไม่เป็น หรือรู้สึกว่าใช้ยาก เขาก็ไม่อยากใช้ UX ที่ดีคือ user ต้องรู้สึกว่าใช้ง่ายมากแบบไม่ต้องคิดเลย เช่น การตอบข้อความ LINE หรือการค้นหาสถานที่บน Google Maps
ในการทดสอบ usability นี้ นอกเหนือจากการ interview ถามคำถามต่าง ๆ แล้ว เราจะต้อง observe สังเกตดูด้วยว่า user ทำอะไรบ้างในแต่ละขั้น มีสีหน้าท่าทางอย่างไร เพราะในหลายครั้ง สิ่งที่ user พูดอาจไม่ตรงกับสิ่งที่เขาทำจริง เราจึงต้องคอยสังเกตจุดนี้ เช่น user บอกว่าปกติเปิด email อ่านทันทีตลอด แต่ถ้าเรา observe ดูการใช้งานมือถือเขาจริง ๆ อาจพบว่ามี email ค้างอยู่เป็นร้อยฉบับก็เป็นได้ ไม่ใช่ว่า user โกหกเรา แต่สิ่งที่เขาพูดอาจเป็นสิ่งที่เขาอยากทำ แต่ด้วยปัจจัยอื่น ๆ อาจทำให้ทำจริงได้ยาก เราต้องเข้าใจพฤติกรรมที่แท้จริงของเขาถึงจะออกแบบ product ให้เหมาะสมได้
ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่า นอกเหนือจากตัว function การใช้งานแล้ว emotion ของ user ก็ส่งผลอย่างมากต่อการใช้งาน product ซึ่งการสร้างประสบการณ์รูปแบบนี้สามารถทำได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- Text ข้อความบนเว็บไซต์ แอพ แพลตฟอร์ม
- Graphic ภาพสื่ออารมณ์รูปแบบต่าง ๆ
- Trusts สร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ใช้ ช่วยให้ผู้ใช้ทราบว่าคาดหวังอะไรได้ในแต่ละขั้น มีหลาย tools เช่น ข้อมูลรีวิว สถานะการจัดส่ง ตำแหน่งคนขับรถ สถานะการกรอกข้อมูลว่ากรอกไปกี่ % แล้วและเหลือต้องกรอกอีกเท่าไร
นอกจากนี้ ให้ลองวาดผัง Empathy map ที่ระบุว่าเราอยากให้ user รู้สึกอย่างไรในการใช้งาน ซึ่งมีอยู่ 4 ส่วน ได้แก่ Think and feel, Say and do, See, Hear เพื่อนำมาใช้เป็น framework ในการออกแบบประสบการณ์
ตัวอย่าง Empathy map ของ Whatsapp
หลักการทั้งหมดนี้ประกอบภาพรวมกันได้เป็นการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้ โดย Dr. Jacob กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า อยากให้ผู้ประกอบการทุกคนหมั่นออกไปพบปะ user ผู้ใช้จริงอยู่เสมอ ถึงจะเกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องที่แท้จริง ไม่ว่าธุรกิจจะไปถึงขั้นไหนแล้ว โตระดับไหนก็ตาม ก็ควรยึดถือหลักการ user-centric คำนึงถึงผู้ใช้เสมอ เพื่อที่จะสามารถสร้าง product ที่เป็นที่ต้องการของตลาดได้ ดัง product ระดับโลกที่เราใช้กันในชีวิตประจำวัน
ติดตามข่าวสารความรู้ในวงการสตาร์ทอัพได้ทางเพจ Disrupt Technology Ventureและพบกันที่งาน Education Disruption Conference 2020: Reimagine Thailand’s Education 2030, Virtual Conference ที่จะพาทุกคนมาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของการศึกษาไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น ผ่าน Content สุด exclusive จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมากมาย พร้อมทั้งฟังประสบการณ์ จาก EdTech Startups และ Social Entrepreneurs ที่ประสบความสำเร็จทั้งในไทยและต่างประเทศ ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ ที่นี่