Pat Thitipattakul
Corporate Innovation Manager
“สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจสตาร์ทอัพล้มเหลวเป็นเพราะการขาดเครื่องมือและวิธีการตัดสินใจที่เหมาะสม การนำคอนเสปต์การทำงานแบบ Lean ผนวกกับ Customer Discovery เข้ามาใช้ จะช่วยให้ผู้ประกอบการรายใหม่สามารถสร้างธุรกิจที่เติบโตเร็วได้เพราะตอบโจทย์ความต้องการของตลาด”
dtac accelerate bootcamp ได้เริ่มต้นคลาสแรกอย่างเป็นทางการแล้วในวันอังคารที่ 28 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีวิทยากรรับเชิญสุดพิเศษ สก็อต เบลส์ (Scott Bales) ผู้เชี่ยวชาญเรื่องการพัฒนานวัตกรรม บินตรงมาจากประเทศสิงคโปร์ มาให้ความรู้แก่เหล่าสตาร์ทอัพใน batch 7 ในเรื่องของ Customer Validation พร้อมให้คำแนะนำอย่างใกล้แบบ 1-1 ในช่วง mentoring session
สก็อตกล่าว่า Customer Validation ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มต้น เป็นการช่วยให้ทีมเข้าใจกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของตัวเองได้อย่างลึกซึ้ง ได้ข้อมูลที่พิสูจน์มาแล้วไม่ใช่การคิดเอาเอง ทำให้สามารถทำ product หรือ service ออกมาได้ตรงตามความต้องการของตลาดในวิธีที่ lean รวดเร็วและใช้ต้นทุนน้อย ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้จะสามารถนำไปสู่การเติบโตแบบก้าวกระโดดได้
ธุรกิจสตาร์ทอัพรายใหม่มักขาดเครื่องมือและวิธีการตัดสินใจที่เหมาะสม บางครั้งผู้ประกอบการก็ใช้การตัดสินใจโดยใช้สัญชาตญาณและความรู้สึก ซึ่งมีโอกาสนำไปสู่ความผิดพลาดได้ การตัดสินใจที่ดีคือการตัดสินใจโดยมีข้อมูลประกอบชัดเจน มีการตั้งมาตรฐานและ metrics ตัวชี้วัดเอาไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ อยู่แล้ว ซึ่งสอดคล้องกับวิธีการทำงานแบบ lean startup
แน่นอนว่าสำหรับธุรกิจบางประเภท อาจมีลูกค้าหลายกลุ่ม หลายลักษณะ แต่สำหรับสตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มต้น ควรโฟกัสสร้างฐานลูกค้ากลุ่มแรกให้ได้ก่อน ค่อยขยายตลาด โดยควรเลือกกลุ่มลูกค้าที่เป็น early adopters สำหรับธุรกิจของคุณ คนที่จะเป็น early adopters ได้คือคนที่มีปัญหานั้นจริง ๆ และกำลังมองหาวิธีการแก้ ซึ่งถ้าสิ่งที่คุณทำมันตรงกับสิ่งที่คนกลุ่มนี้ต้องการอยู่แล้ว ก็จะสามารถครองใจได้ไม่ยาก เมื่อเทียบกับคนกลุ่มอื่นที่อาจจะสนใจ แต่ว่ายังรู้สึกว่าปัญหามันไม่ได้ร้ายแรงสำหรับเขา ไม่ควรทุ่มเงินไปกับการตลาดเพื่อจับลูกค้าทุกกลุ่ม ควรชนะใจกลุ่มแรกให้สำเร็จก่อน
การทำ Customer Discovery จะช่วยตอบได้ว่าคนแบบไหนที่มีแนวโน้มเป็น early adopters โดยการเข้าไปทำความเข้าใจ เก็บข้อมูลพฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ของเขาในเชิงลึก รวมถึงเจาะลึกประเด็นปัญหาที่เขาเจอ และวิธีการแก้ที่มีอยู่แล้วว่ามีจุดเด่นจุดด้อยอย่างไร เพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ และปรับธุรกิจของคุณให้ตรงจุดมากขึ้น นอกจากนี้ข้อมูลเหล่านี้ยังมีประโยชน์ต่อการทำ marketing อย่างมาก รู้ว่าลูกค้าแบบนี้ชอบภาษาแนวไหน เข้าถึงได้ทางสื่อช่องทางไหน
โดยเมื่อได้เข้าไปคุยกับกลุ่มคนจำนวนมากแล้ว ควรนำมาสรุปในประเด็นต่อไปนี้ เพื่อตัดสินใจต่อว่าควรเปลี่ยนสมมติฐานไหม หรือควรทำต่อ
ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะต้องเข้าไปคุยกับผู้คนจำนวนมาก ใช้เวลาเยอะในการทำ สก็อตจึงแนะนำเทคนิคเพิ่มเติมว่า ให้ทีมแบ่งกันไปทำ ตั้งเป้าว่าแต่ละคนต้องคุยกับลูกค้า 10 คนทุกอาทิตย์ ซึ่งก็ไม่ได้เยอะมาก ถ้าทีมมีกัน 10 คน แค่นี้ก็ได้ insights 100 คนในเวลาแค่ 1 อาทิตย์แล้ว
เมื่อได้ข้อสรุปแล้ว สามารถนำมาเขียนเป็น Persona ต่อได้ดังนี้
ซึ่งสก็อตกล่าวว่าปัญหาที่เป็นรากฐานของธุรกิจที่ดี คือ ปัญหาที่มีหลาย persona เจอและรู้สึกว่าร้ายแรง ถ้ามีแค่ persona เดียวแสดงว่าตลาดอาจมีขนาดเล็ก แต่ถ้ามีคนหลายแบบที่มีปัญหานี้และต้องการแก้จริง ๆ แสดงว่าธุรกิจมีโอกาสเยอะ ลงทุนสร้างโซลูชั่นเดียวแต่สามารถขายลูกค้าได้หลากหลายกลุ่ม เป็นสัญญาณในการไปถึง product-market-fit
สตาร์ทอัพที่เพิ่งเริ่มต้นจาก idea stage คือเพิ่งมีแค่ไอเดีย จะต้องพัฒนาไปถึงขั้น product-market-fit ให้ได้ เป็นเป้าหมายสำคัญเพราะเป็นหลักฐานว่าธุรกิจนี้ตอบโจทย์ตลาด มีความต้องการจากลูกค้าจริง มีคนยอมจ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหานั้น และมีโอกาสเติบโต ซึ่งวิธีการ Customer Validation ที่สก็อตได้นำมาสอนในคลาสนี้คือวิธีการทดลอง การพิสูจน์ วิธีการทำงานแบบ lean เพื่อให้พัฒนาได้อย่างรวดเร็วและก้าวข้ามจาก idea stage ไปสู่ product-market-fit ให้ได้นั่นเอง
ติดตามข่าวสารและเนื้อหาสุด exclusive จาก bootcamp ของ dtac accelerate batch 7 ได้ที่ https://www.disruptignite.com/blog และเฟสบุ๊คเพจ dtac accelerate