Krating Poonpol
Founder of Disrupt Technology Venture, Founding Partner, 500 TukTuks
เวลาผมไปบรรยายตามบริษัทใหญ่ๆหรือใน class Disrupt StartX เองนั้น concept นึงที่มักจะนำออกมาพูดเสมอคือ concept ของ Six Ds ของ Exponentials ครับมันคือ 6 stages ที่ Exponential Technology เข้ามามีผลกับธุรกิจและอุตสาหกรรม และเป็น concept ที่น่าสนใจและผมว่าค่อนข้างสำคัญเลยอยากเอามาแชร์กับเพื่อนๆครับ ต้องขอโทษล่วงหน้าด้วยที่เป็นไทยคำ อังกฤษ 2 คำและมีศัพท์เฉพาะเยอะครับ
คือ การที่ digital technology เข้ามา "digitize" และแปลง product / service หรือแม้กระทั่ง core processes ของอุตสาหกรรมนั้น ให้เป็น ข้อมูล + กระบวนการ digital เช่น จากการถ่ายรูปด้วยกล้องแบบใช้ filmและล้างรูปซึ่งเป็นกระบวนการ physical + chemical ก็กลายมาเป็นกระบวนการ digital แทนและต้องบอกว่าแทบทุกอุตสาหกรรมมีส่วนที่สามารถแปลงเป็นข้อมูล digital ได้ทั้งสิ้นไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็น medicine, finance, manufacturing ( think 3D printer and etc.) , logistics, retail, construction , etc. และเมื่ออุตสาหกรรมนั้นถูก "digitalization" แล้วมันจะเริ่มเข้าสู่ "Exponential curve" ทันที
นั้นเป็น stage ที่น่ากลัวมากเพราะโดยธรรมชาติของ exponential curve นั้นช่วงแรกๆการเปลี่ยนแปลงจะเป็นแบบ "ต่ำเตี้ยติดดิน" และ ดูเหมือนแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย จึงเป็น stage ที่ "หลอกตา" สมชื่อ "Deception stage" ดังนั้น CEO ของบริษัทยักษ์ใหญ่หลายๆคนจึง "หลอกตัวเอง" และ สร้างการเปลี่ยนแปลงแบบ "linear" คือระดับเส้นสีเทาในกราฟข้างล่างและคิดว่า การเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนสูงกว่าการเปลี่ยนแปลงของ exponential technology นั้น โอเคแล้ว
และใน stage นี้คุณมักจะได้ยินคำพูดประเภทที่ว่า "เราทำแบบนี้และอยู่รอดมา 100 กว่าปีแล้ว", "เรามี asset และ balance sheet ที่แข็งแกร่ง (โดย asset ในยุคเก่านั้นอาจจะเป็น liability ในยุค digital disruption ก็ได้), อุตสาหกรรมของเรามี supply chain (แบบดั้งเดิม)ที่ซับซ้อนและมีกฎหมายคุ้มครอง ไม่ต้องกลัวหรอก, เรามี brand ที่น่าเชื่อถือที่ถูกสร้างมาเป็นร้อยปีและฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งเราไม่มีวันถูก Disrupt หรอก....
ถ้าเมื่อไหร่ที่คุณได้ยินคำพูดเหล่านี้และการเปลี่ยนแปลงในบริษัทของคุณยังเป็นแบบ linear มันอาจจะเป็นไปได้ว่าคุณกำลังอยู่ใน stage "Deception" และบริษัทคุณกำลัง"หลอกตัวเอง"อยู่ครับ
ที่อยู่ดีๆการเปลี่ยนแปลงเป็นแบบ "หักศอก" ตามธรรมชาติของ exponential curve และ ณจุดนี้นั้น "price / performance" ของ exponential technology นั้นจะดีขึ้นอย่างมากและอยู่ในราคาที่ถูกลงอย่างมากจนเริ่มมี mass adoption และผู้เล่นหน้าใหม่ที่ใช้ประโยชน์จาก disruptive technology เหล่านี้เริ่มสามารถเข้ามาแข่งขันและ "disrupt" ผู้เล่นดั้งเดิมในอุตสาหกรรมได้ด้วย product / service และ business model แบบใหม่ๆ
คือ stage ที่ "การทำเงินแบบดั้งเดิม(monetization)" นั้น"หายไป"จากผู้เล่นดั้งเดิมในอุตสาหกรรม ลองนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับธุรกิจ media ในปัจจุบัน จะเห็นภาพได้ชัดมากครับว่าผู้เล่นดั้งเดิมนั้น ถูก "demonetize" และ มีผลประกอบการณ์ที่แย่ลงอย่างรวดเร็วด้วย business model แบบ free with targeted and trackable advertising
และใน stage นี้ ยังร่วมด้วย "dematerialization" นั้นมันคือ ตัว product/service นั้นมัน"หายตัวไป" เป็นส่วนหนึ่งของ platform ที่ใหญ่กว่าแทน เช่น กล้อง digital เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ smartphone, content ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กๆและหายเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของ Facebook / Instagram/ YouTube/Twitter แทน แทนที่จะเป็น สิ่งแยกออกมาหรือต่อไป เทคโนโลยีอย่าง AI นั้นก็จะ "dematerialize" และหายไปอยู่ใน cloud และเป็นส่วนหนึ่งของ smart home / speaker / autonomous car แทนเป็นต้น
นั้นคือ "Democratization" เมื่อ exponential technology นั้นกลายไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของคนทั่วไป เพราะราคาที่ถูกลงมหาศาลและการใช้งานนั้นง่ายลงจนใครๆก็ใช้ได้ และ exponential technology เหล่านี้นั้น "empower" หรือมอบอำนาจมหาศาลให้คนทั่วไปก็สามารถใช้งานมันได้ จากตอนแรกที่อาจจะเป็นแค่ toy หรือของเล่นของพวก geek / early adopter ก็เป็น tool หรือเครื่องมือที่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
ลองนึกถึงกล้องโทรศัพท์มือถือ + app ที่ทำให้ใครๆก็ถ่ายภาพสวยแบบมือโปรได้ครับ ลองนึกถึง technologg หลายๆอย่างที่ตอนนี้อาจจะเป็นแค่ "expensive toy" อย่าง Drone, 3D Printer เป็นต้นแล้วลองนึกถึง impact ของมันเมื่อ price/performance มันดีขึ้นจนคนทั่วไปเข้าถึงได้และใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ครับ
วันนี้ผมคิดว่าหลายๆอุตสาหกรรมกำลังอยู่ใน stage "Deception" และอีกไม่นานจะถึงจุดหักศอก (Disruption) และสิ่งที่ตามมาสำหรับคนที่ปรับตัวไม่ทันหรือปรับตัวแบบ "linear" นั้นน่ากลัวมากๆครับ จนกระทั่งเขาบอกว่ามี อีก 3 Ds ต่อจาก 6Ds คือ "Distraught", "Depressed", และ สุดท้าย "Departed" ครับ ลองดูสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับธุรกิจ "retail" ใน US ที่ปี 2017 นี้เขาถึงกับเรียกกันว่า "Retail Apocalypse" เลยครับ ลองคิดเล่นๆดูครับว่าอุตสาหกรรมของคุณนั้นตอนนี้อยู่ใน stages ไหนแล้วครับ?
สำหรับผมนั้นไม่ต้องจำ ถึง 6 Ds หรอกครับผมว่ามันมีแค่ 2 Ds คือ "Disrupt" or "Die" เท่านั้นครับและผมคิดว่าหลายๆอุตสาหกรรมในประเทศไทยนั้นโชคดีที่พัฒนาการอุตสาหกรรมในต่างประเทศนั้นนำหน้าเราหลายปีและกำลังอยู่ในจุด "disruption" / "demonetization" ทำให้เรามีเวลาเรียนรู้และเตรียมตัวครับ วันนี้เราอาจจะอยู่ในจุด "Deception" ที่การเปลี่ยนแปลงเป็นแบบ "หลอกตา" วันนี้เราต้องอย่า "หลอกตัวเอง"แต่ต้องลุกขึ้นมา "Disrupt" และ "transform" ตัวเราเองอย่างจริงจังครับ