Reimagine Thailand’s Education and Workforce 2030

January 15, 2021
Neuy Priyaluk

Content นี้เป็นส่วนหนึ่งจากงาน Education Disruption Conference 2 - Virtual Conference ที่จัดระหว่างวันที่ 14 - 28 พฤศจิกายน 2563

“Constant disruption is the constant opportunity”

พนักงานจะเป็นอย่างไรในอนาคตของการทำงานปี 2030 ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงกันว่า บริษัท องค์กร หรือตัวเราเองนั้น ต้องเตรียมตัวยังไงกันบ้าง

ไม่มีใครรู้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า โลกจะเป็นอย่างไร แต่มีสิ่งหนึ่งที่จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน คือ ‘การสูญพันธุ์และล่มสลาย’ ของบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ กับองค์กรที่ไม่สามารถปรับตัวให้ท่วงทันวิกฤตการณ์ disruption ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้เรียกได้ว่าเป็น An era of a ‘MASSIVE EXTINCTION’ of Corporations and Organizations

เนื่องจาก COVID-19 เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง จาก 2 ปี ย่นระยะเวลาให้เหลือเพียง 2 เดือน การที่จะไม่ทำให้ตัวเองต้องกลายเป็น 'ฟอสซิล' ในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วนั้น เราควรที่จะเปลี่ยนนโยบายต่าง ๆ จากเป้าหมายระยะยาว ให้กลายเป็นเป้าหมายระยะสั้น และต้องเลือกอย่างชัดเจนว่า เราจะ transform และเร่งเครื่องไปข้างหน้าอย่างไร

ในช่วงเวลาวิกฤต ภาวะการเป็นผู้นำ (Leadership) ถือเป็นทักษะที่สำคัญและค่อนข้างท้าทาย เพราะในฐานะผู้นำองค์กร เราต้องลุกขึ้นมาบอกกับทุกคนให้ปรับตัว เร่งเครื่องด้วยความรู้สึกตื่นตัว (The Sense of Emergency) และต้องสร้างบ้านหลังใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม

3 DNA ที่องค์กรต้องเร่งสร้างทันที!

ในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเกิดการเปลี่ยนผ่านในด้าน ธุรกิจ เทคโนโลยี และเศรษฐศาสตร์ (Economic Landscape) โดยทุกองค์กรควรมี 3 DNA หลัก ดังต่อไปนี้:

1️. Digital backbone:

ที่หมายถึง การมีดิจิทัลเป็นใจกลางหลักขององค์กร

2️. นวัตกรรม (Innovation):

ต้องเป็นรูปแบบการดำเนินงานหลักขององค์กร ซึ่งสิ่งสำคัญคือ ต้องเคารพการไม่มีเหตุผล หรือในที่นี้ เราจะเรียกว่า “Respect the Unreasonable” เพื่อการเปลี่ยนแปลงแบบก้าวกระโดด โดยเปรียบเสมือนการเป็นหงส์ดำ (Black Swan) ที่สร้าง S-Curve ใหม่ในโลกสมัยใหม่ทั้งในด้านคนและไอเดีย

ดังนั้น เราจึงต้องมี วัฒนธรรมที่บ้าคลั่ง (Crazy Culture) และการทดลองใหม่ ๆ เพราะนวัตกรรม (Innovation) ควรที่กระจายไปให้ทุกคนในองค์กรอย่างทั่วถึง

3. วัตถุประสงค์ (Purpose):

การมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนใน DNA ถือเป็นสิ่งสำคัญมาก ๆ เพราะทุกองค์กรต้องรู้ว่า เราดำรงอยู่เพื่ออะไร เพราะต่อไป ลูกค้าไม่ได้ต้องการเพียงแค่ซื้อสินค้าหรือบริการ แต่พวกเค้าต้องการที่จะเป็นส่วนหนึ่งในวัตถุประสงค์นั้น

ส่วน Talent ในองค์กรก็เช่นเดียวกัน พวกเขาจะเป็นคนที่เข้ามาในองค์กร เพื่อวัตถุประสงค์การเป็นแชมป์ (Champion Purpose) ดังนั้น Purpose ควรส่งผ่านตั้งแต่บอร์ดผู้บริหารระดับสูง ไปถึงทุก ๆ คนในองค์กร จนกลายเป็น DNA ขององค์กร

“Data is the most precious asset.”

เป็นประโยคที่ทุกคนได้ยินมาอย่างช้านาน ดังนั้นในยุคนี้ ทุกองค์กรควรจะต้องเป็นองค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Organization) ให้หมดได้แล้ว ก่อนที่มันจะสายเกินไป.. แต่ที่กล่าวมานั้น ก็อาจจะไม่จริงเสียหมดทีเดียว เพราะ Data is the most precious asset only after PEOPLE และโลกนี้ยังคงต้องการ Talent

AI (ยัง) ไม่สามารถทำให้คนตกงานได้

จากการที่ทุกคนคิดว่า AI คือ Artificial Intelligence นั้น ก็อาจถูกไม่หมดเสียทีเดียว AI ที่จริงแล้วควรหมายถึง Augmented Intelligence ซึ่งหมายถึงการนำปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data analytic) มาเลียนแบบและเสริมความฉลาดของมนุษย์ ในขณะเดียวกัน คนก็มาเสริมความฉลาดให้กับ machine ได้เช่นเดียวกัน

ดังนั้น เราจึงต้องการพนักงานแบบใหม่ ที่ทำงานกับ machine ได้แบบไร้รอยต่อ พนักงานทุกคนจึงจำเป็นต้อง reskill และ upskill ตัวเองตลอดเวลา

การที่จะเกิด crazy culture และการ respect the unreasonable ได้นั้น สิ่งสำคัญคือจะต้องมีความหลากหลายทางความคิดและความเห็น (Diversity of Thinking and Opinions) ที่เกิดจากการเชื่อมอย่างไร้รอยต่อระหว่างคนที่แตกต่างกัน ทั้งทางด้านความคิดและช่วงอายุภายในองค์กร

ทักษะรูปตัว “X” 

เป็นทักษะสำคัญของผู้นำยุคใหม่ ที่หมายถึงการเชื่อมจุด ประสานจุด และ cross ความคิดต่าง ๆ เข้ามาในการสร้างเรื่องราวที่ใหญ่และใหม่ ด้วยการประกอบจิ๊กซอว์ชิ้นต่าง ๆ ซึ่งมาจากความหลากหลายทางความคิดของคนในองค์กร

Talent ยุคใหม่ ต้องเปลี่ยนจากหัวหน้า (Boss) มาเป็นคนแนะนำ (Coach) ไม่ใช่คนที่สั่งคนอื่น โดยโค้ชจะต้องฟังให้มาก พูดให้น้อย และตั้งคำถามให้เยอะ หรือเป็นคนที่คอยซัพพอร์ต ให้พวกเขาได้แสดงศักยภาพให้มากที่สุด ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากการปกครองแบบชนชั้น (Hierarchy) ไปสู่การเน้นด้านความสามารถ (Competency) ในแต่ละบุคคลแทน

ปัจจุบัน ความมั่นคงในการทำงาน (Job Security) จะไม่มีอีกต่อไป ทุกคนในตอนนี้ล้วนมีความเสี่ยงที่จะตกงานชั่วคราว (The Emergence of the Jobless Class) ดังนั้นทุกคนจะต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competiticeness) ให้สูงขึ้น

แต่ในทุก ๆ ครั้งที่เกิดการปฏิวัติ (Revolution) หรือ Disruption ก็มักจะมีตำแหน่งงานใหม่ ๆ และจำนวนงานใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้นเสมอ ฉะนั้นคนที่ reskill และสร้าง competencies อย่างต่อเนื่อง ก็อาจจะเสี่ยงตกงานแค่เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

หากต่อไปในอนาคต คนมีอายุขัยเฉลี่ย 100 ปี การทำงานก็อาจจะกลายเป็นวัฏจักร (Cycle) ที่ทำงาน 3 ปี แล้วออกไปสร้างทักษะใหม่ (Reskill) เติมพลัง (Recharge) และฟื้นฟู (Reinvigorate) ตัวเอง 1 ปี ก่อนที่จะกลับมาทำงานในตลาดแรงงานอีกครั้ง และจะเป็นวัฏจักรเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง 

ทั้งหมดนี้ จะเป็นมากกว่า Life-Long Learning แต่เป็นการเริ่มใหม่ (Renewal) การสร้างใหม่ (Reinvent) การเปลี่ยนตำแหน่งใหม่ (Reposition) และการเปลี่ยน Mindset ของตัวเราเองใหม่อีกครั้ง เพื่อการปรับตัวสู่ยุคที่เรียกว่า ‘Continuous Disruption’

สิ้นสุด..ยุคพนักงานประจำ

Full-Time Employee with Life-Time Employment จะไม่มีอีกต่อไป แต่จะเป็น Life-Time Employability หรือ ความสามารถในการถูกจ้างได้ชั่วชีวิต เพราะองค์กรสมัยใหม่ จะไม่สามารถ reskill พนักงานประจำได้อย่างทันทวงทีอีกต่อไป เนื่องจากความเร่งรีบแข่งขันกับการปรับเปลี่ยนของโลกอนาคตที่ทุกอย่างเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็วและฉับพลัน

การเข้าถึงเครือข่ายของ Talent (Network of Ondemand Talent) จึงเป็นสิ่งสำคัญ บริษัท Tech ชั้นนำบางแห่ง จึงได้ใช้บริการ ondemand talent หรือที่เรามักเรียกกันว่า outsource กว่า 40% ของพนักงานทั้งหมด เพื่อการเข้าถึงทักษะใหม่ๆ ที่องค์กรยังไม่มี ให้ได้อย่างดั่งใจและทันกับเวลา

ชุบตัวใหม่ รับโอกาสใหม่

ทักษะที่จำเป็นในการ reposition ตัวเราเองมี 4 ข้อหลักดังต่อไปนี้

1️. Language & Digital Literacy

การรู้ภาษาอังกฤษอย่างเดียวนั้น ไม่เพียงพอแล้ว ปัจจุบัน ประเทศจีน กำลังจะขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่แซงหน้าสหรัฐฯ อีกทั้ง ภาษาคอมพิวเตอร์ในโลกยุคใหม่ ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นเดียวกัน

2. Global Literacy

หลังจากเรารู้ Language และ Digital literacy แล้ว เรายังคงต้องรู้ Global literacy อีกด้วย Global Literacy คือ การเป็นประชากรของโลกท้ังโลก เราต้องเข้าใจพลวัตและบริบทของทั้งโลก เพราะโลกทั้งโลกถูกเชื่อมต่อกันด้วยดิจิทัลและ social media ต่างๆ นั่นหมายความว่า ถ้ามีสิ่งหนึ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับอีกมุมหนึ่งของโลก ก็จะส่งผลกระทบเช่นเดียวกันมาถึงอีกซีกโลกหนึ่งได้ในระยะเวลาอันสั้น

3. Mathematics + Analytical Reasoning

หมายถึง การคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดด้วยตัวเลข ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งจำเป็นสำหรับการ reposition เช่นเดียวกัน

4️. Multi Potentialist

สุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือการเป็น Multi Potentialist ที่ต้องมีความรู้ลึกรู้จริงในหนึ่งเรื่อง แต่ก็ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องรู้แบบกว้าง ๆ ในอีกหลาย ๆ เรื่อง เพื่อเสริมสร้างทักษะต่าง ๆ ให้กับตัวเราเองเพื่อความอยู่รอด เพราะหากเราไม่ได้เป็น talent ที่เปรียบเสมือนตัว I ที่ลึกมาก ๆ เราจงเป็น ‘เป็ด’ ที่เก่งฉกาจและคล่องแคล่ว ว่องไว มีทักษะแบบรูปตัว Y

นอกจาก Lifelong learning แล้วนั้น ยังมีทักษะขั้น advanced ที่จำเป็นอีก 3 ข้อได้แก่:

1. การเลียนแบบการคิดแบบปัญญาประดิษฐ์ ใช้ Algorithm ในการแก้ปัญหา (Algorithymic Problem Solving)

2. Design Thinking อย่างเดียวไม่พอ ต้องรวมกับ Data ด้วย (Data-driven and Design Thinking)

3. มีความสามารถในการรู้ว่า pattern ที่เกิดซ้ำคืออะไร (Pattern Recognition) ที่เหมือนประสบการณ์ที่เราต่างพบเจอ และรู้ว่าควรจะใช้กระบวนการแบบใดมาแก้ปัญหา

(หัวข้อนี้สามารถอ่านเพิ่มเติมได้จาก พนักงานจะเป็นอย่างไร ในอนาคตของการทำงาน ปี 2030 )

Constant Disruption มหาวิกฤตแห่งโอกาส

ณ ปัจจุบัน การเรียนรู้นั้นไม่ได้สิ้นสุดอยู่ที่จำนวนหนังสือที่เรามี หรือความรู้ที่ได้รับจากคนรอบตัวเรา แต่ความรู้นั้น กลับอยู่แค่ปลายนิ้ว เพียงลุกขึ้นมา Upskill และ Reskill ตัวเองด้วย Sense of Emergency เพราะโลกในยุคใหม่ที่เป็น Constant Disruption ซึ่งฟังแล้วอาจจะดูโหดร้าย แต่กลับเต็มไปด้วยโอกาสที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม เพียงแค่โอกาสเหล่านั้น มีไว้สำหรับคนที่ลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง

ในการพูดถึง Lifelong learning ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ตัวบุคคลเพียงคนเดียว แต่รวมไปถึง Awareness หรือการตระหนักรู้ของคนทุกคนในสังคม ที่จะต้องลุกขึ้นมาเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ตลอดทั้งชีวิต

สำหรับองค์กรเอง ก็ต้องมีการปรับตัวเช่นเดียวกัน นั่นทำให้บางองค์กรอาจเปลี่ยนมุมมองและให้ค่าน้ำหนักไปที่ ทักษะ (Skills) และ ขีดความสามารถ (Competencies) มากกว่า ‘ปริญญา’ ก็เป็นได้ บริษัทจึงต้องการ Talent ที่มีความรู้และทักษาต่าง ๆ เพื่อสร้าง Ecosystem ให้คนลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเอง

แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ตัวเราเอง ที่จะต้องสนุกกับการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ มีช่องทางการเรียนรู้ และสนุกกับมัน อย่าให้ใครต้องมาบังคับเราเพื่อลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลง

Digital Disruption เป็นเรื่องของอดีตไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกแห่งอนาคต จะถูก Automated พวกเราทุกคนจะอาศัยอยู่ในโลก Extended Digital Reality ที่สิ่งเสมือนกับความเป็นจริงซ้อนทับกัน ดังเช่นในปัจจุบัน หลายสิ่งหลายอย่างที่เกิดขึ้นและถูกพูดถึงในอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย สามารถมากระทบกับโลกความเป็นจริง และโลกความเป็นจริง ก็ป้อนสะท้อนกลับเข้าสู่โลกเสมือนแห่งนี้ ราวกับว่าทั้งสองโลกเป็นสิ่งเดียวกัน

Constant Disruption จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและตลอดไปจนกลายเป็น New Normal ภายหลังจากภาวะ Covid-19 ตามด้วยเศรษฐกิจ ตามด้วย Geo-Politico Disruption ที่จีนต้องการที่จะเป็นผู้นำ และ Shape Agenda ของทั้งโลก อีกทั้ง Socio Disruption จะเกิดขึ้นด้วยการ Disruption ในเรื่องของ Generation Crash ในสังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) 

และสุดท้าย คลื่นของผลกระทบลูกใหญ่ที่สุด คือ Environmental Disruption ที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ ซึ่งไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งใดบนโลกแห่งนี้ คุณก็จะได้รับผลกระทบไปพร้อม ๆ กัน

จากการเกิด Constant Disruption เช่นนี้ เราทุกคนควรเตรียมตัวตั้งรับ และอยู่กับ Disruption อย่างมีสติ จงคิดว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เราพร้อมรุกไปข้างหน้า

สามสิ่งทิ้งท้าย ที่เราควรที่จะสอนเพื่อนมนุษย์ทุกคน คือ ศีลธรรม (Ethics) ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (Emphathy) และ ความรักที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ (Eompassion) ไม่ว่าเขาจะมาจากเชื้อชาติไหน สัญชาติใด หรือเขาเป็นใคร เพราะ Disruption ก็จะนำไปสู่ ความไม่เท่าเทียม (Inequality) ที่ยิ่งใหญ่ ทั้งในเรื่องของโอกาส การเข้าถึงทรัพยากร องค์ความรู้และการศึกษา เพราะเราทุกคนจะต้องอยู่รอดด้วยกันในฐานะมนุษยชาติร่วมโลกใบเดียวกัน!!

Content นี้เป็นส่วนหนึ่งจากงาน Education Disruption Conference 2 - Virtual Conference ที่จัดระหว่างวันที่ 14 - 28 พฤศจิกายน 2563

และสำหรับใครที่อยากเรียนรู้ skill ในการปรับเปลี่ยนองค์กร เพื่อเตรียมรับมือกับโลกในทศวรรษใหม่นี้ ห้ามพลาด! โปรแกรม CXO - Chief Exponential Officer หลักสูตรเพื่อการ Transform ผู้นำและองค์กรให้อยู่รอดในยุค Continuous Disruption โดยคุณกระทิง และ Disrupt 

#CXO #TheNextCXO

Update ความรู้จาก Disrupt ได้ที่ช่องทาง