Hungry Hub : โซลูชั่นใหม่ ที่ช่วยเพิ่มรายได้ให้ร้านอาหาร ลูกค้าทานไม่อั้นในราคาสุดคุ้ม

September 16, 2020
Disrupt Team

อีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่น่าจับตามอง และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง Hungry Hub (No.1 Buffet App in Thailand) ที่ช่วยเพิ่มยอดขายให้ร้านค้ากว่า 250 ล้านบาท หรือตกร้านละ 1-2 ล้านบาทต่อเดือน ปัจจุบันมีผู้ใช้งานโดยการจองร้านอาหารผ่าน Hungry Hub ไปแล้วกว่า 450,000 คน มีรีวิวร้านอาหารภายในแอพมากกว่า 30,000 รีวิว จนกลายเป็นแหล่งรวมบุฟเฟ่ต์พรีเมียม อันดับ 1 ของประเทศไทย พร้อมเป้าหมายในการขยายไปหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ และอีกหลายประเทศทั่วอาเซียน

แต่กว่าที่จะได้รับความนิยมจนกลายเป็นแหล่งรวมบุฟเฟ่ต์อันดับ 1 ได้นั้น Hungry Hub ผ่านอะไรมาบ้าง และมีกลยุทธ์อะไรที่ทำให้เป็นแอพพลิเคชั่นที่ เป็นทางเลือกใหม่ในการเลือกร้านอาหาร


1. ตลาดมีขนาดใหญ่, เข้าใจ Pain Point, ตีโจทย์ปัญหาของลูกค้าได้

Hungry Hub แรกเริ่มเดิมที เป็นแพลตฟอร์มจองร้านอาหารออนไลน์ แต่ด้วยขนาดตลาดที่ไม่ใหญ่ และแก้ pain point ไม่ตรงจุด เพราะร้านอาหารส่วนใหญ่ยังไม่มีลูกค้ามากพอจนเกิด Pain ในการจองโต๊ะอาหาร ทำให้ในช่วงแรกมีผู้เข้ามาใช้งานแอพลิเคชั่นน้อยมาก เพราะสิ่งสำคัญที่ร้านอาหารต้องการ คือ การเพิ่มยอดขาย และเพิ่มลูกค้าเข้าร้านมากกว่า 

โดยแนวคิดการเปลี่ยนร้านอาหารเป็น all you can eat นั้น เกิดจากการที่คุณสิทธิ์ ผู้ก่อตั้ง Hungry Hub ต้องการเลี้ยงดินเนอร์พนักงาน เซ็ต Budget เรียบร้อย แต่สุดท้ายงบบานปลาย เนื่องจากพนักงานหลายคนสั่งเมนู อย่าง กุ้งแม่น้ำ หรือสเต้กริบอาย ทำให้คุมงบไม่ได้ จึงพยายามคิดหาไอเดีย ที่ทำให้พนักงานได้ทานอาหารในเมนูที่หลากหลาย ได้ทานของที่อยากทาน โดยนายจ้างก็ไม่ต้องคอยกังวลเรื่องงบประมาณ หรือลุ้นราคาตอนเช็คบิล 

ทางทีม Hungry Hub จึงนำไอเดียนี้มาใช้ และ Pivot จากแพลตฟอร์มจองโต๊ะอาหาร มาเป็น เป็นแพลตฟอร์มที่รวมร้านอาหารพรีเมียม เปลี่ยนเมนู A La Carte เป็น All you can eat เพื่อสร้างทางเลือกใหม่ให้ลูกค้าในการเข้าร้านอาหารและสามารถคุม budget ได้อีกด้วย


2. Business Model ที่สร้างประโยชน์และเพิ่มมูลค่าให้กับทุกฝ่าย 

Hungry Hub เป็นธุรกิจด้านร้านอาหาร ที่สามารถทำให้ผู้มีส่วนร่วม Win-Win โดยแก้ทั้ง Pain ฝั่งลูกค้า และฝั่งร้านอาหาร และสร้างรายได้ให้แพลทฟอร์มด้วยการเก็บค่า Commission ซึ่งถือว่า เป็น “Business Model Innovation” ที่สามารถขยายธุรกิจต่อไปได้ในอนาคตยกตัวอย่างกรณีลูกค้า Walk-in เข้าไปในร้านอาหารหรูในห้างแห่งหนึ่ง สั่ง 2-3  เมนู ต้องจ่ายค่าอาหารเกือบพันบาท ในขณะที่จองผ่าน Hungry Hub ลูกค้าจ่ายเพิ่มขึ้นอีกเพียง 200 - 300 บาท แต่สามารถทานได้มากกว่า 5 - 10 เมนู ยกตัวอย่างเช่น บุฟเฟต์ล็อบสเตอร์, โอมากาเสะ, ซีฟู้ด, สเต็กเนื้อ Rib Eye, ติ่มซำภัตตาคาร, อาหารฝรั่งเศส, อาหารฟิวชั่น, อาหารไทย, หรือ ร้านอาหาร Rooftop โรงแรมระดับ 5 ดาว ฯลฯ ทั้งยังได้รับประสบการณ์ที่ดี ด้วยบริการพรีเมียม ที่ต่างจากร้านอาหารบุฟเฟต์ทั่วๆ ไป มีราคาที่ให้บริการตั้งแต่ 99 บาท ไปจนถึง 5,500 บาท/ท่าน ใน ราคา Net ไม่มีบวกเพิ่ม

3. Marketing Partner ที่ช่วยเพิ่มช่องทางโปรโมทและสร้างรายได้ให้ร้านอาหาร อีกหนึ่ง Solution ที่ช่วยร้านอาหารเติบโต

จากวิธีการดึงดูดลูกค้าด้วยความน่าสนใจของโปรโมชั่น All you can eat และสามารถดึงร้านอาหารชื่อดังต่าง ๆ เข้าร่วมได้ ทำให้ Hungry Hub มี Pool ของลูกค้ามากขึ้นเรื่อย ๆ ส่งผลให้ แพลตฟอร์ม และ Community ของ Hungry Hub เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว 

ทั้งนี้ Hungry Hub ยังเป็นเหมือน Marketing Partner ที่ช่วยร้านอาหาร ออกแบบเมนู ให้ออกมาเป็นเซ็ต All you can eat ที่น่าสนใจ, เซ็ตอาหารกลางวัน, เซ็ตอาหารสำหรับจัดเลี้ยงงานบริษัททั้งยังสามารถช่วยร้านอาหารเพิ่มยอดขายและกำไรในเวลาเดียวกันได้ และยังร่วมออกเมนูใหม่ ๆ (Exclusive Menu) ที่ทานได้เฉพาะ จากการสั่งผ่าน Hungry Hub อีกด้วยบวกกับความสามารถในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ Hungry Hub ผ่านสื่อ Social media, Blogger, รีวิว และผู้ติดตามที่อยู่ในเครือข่ายของ Hungry Hub หลายแสนคน รวมถึงแอพพลิเคชั่นของ Hungry Hub ที่ใช้งานง่าย กดจองง่าย รีวิวง่าย ดีไซน์สวย จึงเป็นการช่วยฝั่งร้านอาหาร ในการเพิ่มการรับรู้ เพิ่มฐานลูกค้าให้กับร้านอาหารได้อีกมาก และสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีแนวโน้มซื้อจริง มีกำลังจ่าย โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม แต่ใช้วิธีการหักค่า commission เมื่อได้ลูกค้าแล้วเท่านั้น


4. โมเดลธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด และเป็นเจ้าตลาด

Hungry Hub เป็นโมเดลธุรกิจที่ทำซ้ำได้ scale ได้ เนื่องจากสามารถเพิ่มร้านอาหารเข้ามาในแพลตฟอร์มและสามารถดึงดูดให้ผู้ใช้งานกลับมาใช้บริการ จากจำนวนร้านค้าที่หลากหลายขึ้น เป็น network effect นอกจากนี้ยังเป็นธุรกิจที่เหมาะกับวัฒนธรรมการทานอาหารของคนไทย ที่ชอบทานอาหารกันเป็นกลุ่ม ทานหลาย ๆ อย่างรวมกัน 

ณ ปัจจุบัน Hungry Hub มีฐานลูกค้ากว่า 130,000 คน ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบ และในตลาดที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ดีลลดราคา 30-50%  ซึ่งเป็นการผลักภาระไปที่ร้านค้า ทำให้เมื่อลดราคา ร้านอาหารจึงลดคุณภาพ ลูกค้าจึงไม่กลับมาซื้อซ้ำ ต่างจาก Hungry Hub ที่ช่วยร้านค้าเพิ่มลูกค้าและเพิ่มยอดขาย (up sell) โดยไม่ลดราคา เป็นการเพิ่มทางเลือกใหม่ ๆ ในการทานอาหารและช่วยคุมงบให้ลูกค้า อีกด้วย


5. ข้อเสนอพิเศษอื่น ๆ ชักจูงให้คนมาใช้บริการซ้ำ

อีกสิ่งที่ทำให้แพลตฟอร์ม Hungry Hub ประสบความสำเร็จ คือ ข้อเสนอพิเศษต่าง ๆ ที่ช่วยให้คนอยากมาใช้บริการมากขึ้น เช่น Gift Card (คูปองอาหาร) สำหรับแจกในโอกาสพิเศษ, สะสมแต้มด้วยการรีวิวหรือต่อการจอง 1 ครั้ง เพื่อแลกเป็นเงินสด ซึ่งช่วยเพิ่มและเข้าถึงฐานกลุ่มลูกค้าใหม่อีก 2 กลุ่ม คือ กลุ่มลูกค้าออนไลน์และกลุ่มลูกค้า Gen Z ที่ชอบเขียนรีวิวหรือและตัดสินใจเลือกร้านอาหาร และดีลต่าง ๆ จากการอ่านรีวิวอีกด้วย

ด้วยปัจจุบันคู่แข่งในตลาดอาหารมีมาก การจะทำให้ลูกค้าจดจำแบรนด์ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ Hungry Hub ได้เข้ามาสร้างความแปลกใหม่เป็นที่จดจำให้กับวงการ บวกกับการมอบประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ทั้งดีลพิเศษ แอพพลิเคชั่นที่กดจองง่าย ดีไซน์สวย มีรีวิวให้อ่านประกอบการตัดสินใจ ไปจนถึงบรรยากาศร้าน คุณภาพอาหาร จนลูกค้าหันกลับมาใช้ รีวิว และแนะนำกันต่อไปเรื่อย ๆ ส่งผลดีต่อทั้งตัวร้านอาหาร และ Hungry Hub เอง จึงไม่แปลกใจว่า ทำไม Hungry Hub ถึงได้ครองใจคนไทย จนได้ชื่อว่าเป็นแหล่งรวมบุฟเฟ่ต์พรีเมียมอันดับ 1 ของประเทศ

สามารถใช้บริการ Hungry Hub ได้แล้ววันนี้ผ่านทางเว็บไซต์ หรือดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่น ที่ www.hungryhub.com/

ติดตามข่าวสารความรู้ในวงการสตาร์ทอัพได้ทางเพจ Disrupt Technology Ventureและพบกันที่งาน Education Disruption Conference 2020: Reimagine Thailand’s Education 2030, Virtual Conference ที่จะพาทุกคนมาเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของการศึกษาไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น ผ่าน Content สุด exclusive จากผู้เชี่ยวชาญระดับโลกมากมาย พร้อมทั้งฟังประสบการณ์ จาก EdTech Startups และ Social Entrepreneurs ที่ประสบความสำเร็จทั้งในไทยและต่างประเทศ ลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ ที่นี่


Update ความรู้จาก Disrupt ได้ที่ช่องทาง