Nae Nae Montawan
Business Development Associate
โลกแห่ง Continuous Disruptions ในมุมมองของคุณกระทิง พูนผล (Chairman of KBTG, Founding Partner of 500TukTuks and Founder of Disrupt Technology Venture) และการ transform องค์กรเพื่อเตรียมความพร้อมการเปลี่ยนแปลงของโลกหลัง Covid-19 จะเป็นอย่างไร ติดตามบทสรุปจาก clubhouse ‘คิดแบบ CXO โตแบบ Exponential’ ได้ในบทความนี้
Entering the Age of Disruptions เป็นช่วงที่เริ่มต้นการเปลี่ยนแปลง และ transform ครั้งยิ่งใหญ่ การเข้ามาของเทคโนโลยีต่าง ๆ
Disruption Domino เมื่ออุตสาหกรรมต่าง ๆ ถูก disrupt จะเกิดเป็น domino effect ไปเรื่อย ๆ หลาย ๆ อุตสาหกรรม
ในปี 2021-2030 นั้นจะเป็นช่วงของ Continuous Disruption ซึ่งเป็นคำที่เราได้ยินกันบ่อยมาก และเป็น complete overhaul of world's economy เป็นโลกหลัง Covid-19 ซึ่งตอนนี้มี debt มากถึง 281 Trillion USD คิดเป็น 3 เท่าของ global GDP โดยจุดหักศอกที่จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดนั้น จะเกิดขึ้นทุก ๆ 4 ปี
โดยการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จะเกิดขึ้นใน 4 phases ด้วยกัน ได้แก่:
1. Digitization: การ transform ของข้อมูล ให้เข้ามาอยู่ในรูปแบบดิจิทัล
2. Deception: การหลอกตา หรือการเปลี่ยนแปลงที่ยังไม่ได้ดูเห็นได้ชัดมาก ซึ่ง Covid-19 ทำให้ deception มีความสั้นลง เพราะคนสามารถเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงมากยิ่งขึ้น เกิดเป็น Disruption
3. Demonetization: เงินหายไปจากผู้เล่นดั้งเดิมหลังจาก disruption
4. Democratization: ทุกคนสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้ในชีวิตประจำวัน มีโทรศัพท์เป็นเหมือนอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกาย
ทั่วโลกกำลังเกิดความท้าทายกันหมด ประเทศจะป่วยไข้กันหมด ไม่ว่าจะเป็น US ที่ President Biden กำลังเผชิญปัญหาที่ต้องแแก้ไขหลายอย่าง ทั้ง Covid Response, สร้าง American Unity, Post-Covid economy, Climate Change, Trade, Healthcare, Immigration, Tech/Anti-Trust laws เป็นต้น
ส่วนประเทศจีนเองก็ต้องพบเจอปัญหาของ US relations, trade war, income inequality, environment pollution, debt, deregulation, relegulation ฯลฯ จากที่เราได้เห็นถึงประเด็นของ Ant Financial ที่เกิดขึ้นได้จาก deregulations ต่าง ๆ ของจีน แต่เมื่อธุรกิจเติบโตไปมากแล้วนั้น ทางรัฐบาลได้มีการ re-regulate ขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ยังคงต้องติดตามต่อไป
โดยทั่วโลกนั้น 5 Disruptions ที่น่าจับตามองในโลกของศตวรรษที่ 21 มีดังนี้
ในศตวรรษที่ 21 เราจะเห็นนวัตกรรมใหม่ ๆ ด้านอาหาร การเกษตร และยา ไม่ว่าจะเป็น alternative protein ซึ่งใช้พื้นที่น้อยลง 95% หรือจะเป็นการทำ digitization ของการวิจัย แยก data ออกจาก biology เช่น การที่คุณกระทิงได้พูดคุยกับ CEO ของ Moderna บริษัทผลิตวัคซีนโควิด-19 เกี่ยวกับความสามารถในการพัฒนาเทคโนโลยีการทำ prototype ของวัคซีนให้ง่ายและรวดเร็วเหมือนการ code ได้
ในปี 2024 Apple จะออก self-driving car และภายในปี 2035 self-driving cars ก็จะเป็น mainstream และทดแทนรถใช้น้ำมันทั่วโลก จนเกิดเป็น in-car economy การเรียนรู้บนรถ การใช้ชีวิตบนรถ ซึ่งจะเป็นการ transform รูปแบบการคมนาคมของคนทั่วโลก
หลังจาก COVID-19 นั้น ทุก ๆ คนได้เรียนรู้การ work, study and rest at home ทุก ๆ อย่างเกิดขึ้นได้ remotely การทำงานไม่จำเป็นที่จะต้องทำจากออฟฟิศเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป พฤติกรรมของมนุษย์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว การเข้าถึงลูกค้าทางบ้าน ตลาดของ e-Commerce จึงเติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุก ๆ บริษัทเองก็ควรที่จะปรับตัวให้ทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย
Climate Change ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่โลกกำลังเผชิญอยู่ และแน่นอนว่าภายในปี 2050 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของแหล่งพลังงานจากเชื้อเพลิงมาเป็นไฟฟ้า เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดยอุตสาหกรรมมากกว่า 13 แห่งจะถูก disrupt อย่างสิ้นเชิง กระทั่ง Bill Gates เองยังได้ให้ความสำคัญผ่านการเขียนหนังสือ 'How to Avoid a Climate Disaster' ซึ่งเมื่อเกิด awareness แล้วนั้น ช่วยให้เกิด laws and regulations เพื่อให้เกิด economic impact ในหลาย ๆ ประเทศ เพื่อหันมาใช้พลังงานไฟฟ้ามากยิ่งขึ้น
ภายในปี 2021 นั้น ประเทศไทยจะกลายเป็น completely aged society ซึ่งการเข้าสู่ Silver Age Society นั้นทำให้เกิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น Assistive Technology, Telehealth, Telecare, Telemed, Mobile health, Wealth planning ฯลฯ ภายใน 2030 นั้น ประเทศไทยจะเป็น super-aged society คนที่อายุ 60+ จะเป็น 55% ของ consumption growth และคนกลุ่มนี้เองจะเป็นกลุ่มที่พร้อมจ่าย premium price สำหรับ service ต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ ดังนั้น โอกาสทางธุรกิจที่กำลังมาแรง คือ ธุรกิจที่สามารถแตะกลุ่มเป้าหมายนี้ได้
คุณกระทิงได้เล่าให้ฟังถึง 5 mode ของลักษณะนิสัยของคนในสมัยการเปลี่ยนแปลง
1. Follower - คนที่ใช้ชีวิตทำงาน 9โมงเช้า ถึง 5 โมงเย็น ตามปกติ
2. Hustler - คนที่บ้าพลังและทำงานหนักมาก ๆ อย่าง Elon Musk
3. Rebel - คนที่หันหลังให้กับการเปลี่ยนแปลง และเลือกที่จะ detox ออกจากเทคโนโลยี
4. Designer - คนที่ออกแบบชีวิตตัวเองให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลง
5. Compound - คนที่รวบรวมความรู้ไปเรื่อย ๆ และมีมากกว่าคนอื่นในท้ายที่สุด ยกตัวอย่างเช่น Warren Buffet, Charlie Munger และ Bill Gates
“คุณไม่สามารถเป็น follower ได้อีกต่อไปแล้วในศตวรรษที่ 21” เพราะโลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงแบบไม่มีสิ้นสุด ทางที่ดีที่สุดคือคุณควรจะเป็น “Chief Exponential Officer”
การที่จะ Transform องค์กรให้ไปไกลแบบก้าวกระโดดได้ ควรมี agility & disruptive mindset ของ startup โดยคุณกระทิงได้กล่าวว่า การคิดแบบ disruptive mindset นั้น คือการเริ่มต้นการคิด จาก ‘first principles’ เป็นการวิเคราะห์และ test assumptions ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับ Elon Musk โดยเป็นการตั้งคำถามจากจุดเริ่มต้น ‘ถ้ามันไม่จริง’ จะเป็นอย่างไร
การที่จะบริหารองค์กรให้มีความสำเร็จได้นั้น ต้องเข้าใจการสร้างทีมที่สามารถดึงจุดเด่นของแต่ละคนออกมาได้ เช่น คุณกระทิงเองเวลาสร้าง Marketing squad จะสร้างทีมที่มีทั้ง data analytics, UI/UX, Machine Learning, Marketing เพื่อร่วมระดมสมองกันช่วยกันแก้ปัญหา การเป็น Chief Exponential Officer นั้นต้องเข้าใจถึงจุดเด่นของแต่ละคนในการสร้างทีมที่จะ develop product/solutions ออกมาให้ดีได้
นอกจากนี้ Chief Exponential Officer นั้น เป็นคนที่เข้าใจถึงจุดเด่น และสามารถดึงจุดแข็งของทั้ง Startups, SME และ Corporates ออกมาได้ โดยคุณกระทิงได้กล่าวว่า จุดแข็งของแต่ละด้านมีดังนี้:
เมื่อทั้งสามจุดแข็งนี้นำมาต่อกันได้อย่างลงตัว จะเกิดเป็นองค์กรที่โตได้แบบ exponential และ Chief Exponential Officer คือผู้ต่อจุดแข็งเหล่านี้เข้าด้วยกัน
การสร้างองค์กรที่เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดนั้น ต้องสนับสนุน micro innovation ส่งเสริมการทดลองและสร้าง innovation ใหม่ ๆ อยู่อย่างสม่ำเสมอ การนำหลักการ Design Thinking มาปรับใช้ในการบริหารถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะไม่มี strategy ไหนที่เป็น one-size-fit-all ทุก ๆ องค์กรมีความแตกต่างและต้องสร้าง strategy ที่เหมาะสมกับแต่ละองค์กรไป ซึ่งคุณกระทิงได้กล่าวว่า ควรแบ่ง budget 10% ในการทดลองอะไรใหม่ ๆ ในองค์กรอยู่เสมอ
โดย exponential curve นั้นจะ flat มาก ๆ ในช่วงแรก แต่เมื่อได้ลองลงมือทำแล้ว ทำซ้ำ build-measure-learn ไปเรื่อย ๆ จะเกิดเป็น snowball effect ที่ทำให้องค์กรสามารถเติบโตแบบ exponential ได้
การเป็นผู้นำนั้น คุณกระทิงได้กล่าวว่าการเปิดตา เปิดหู และเปิดใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมาก ถึงแม้ว่าเราจะเป็นผู้บริหารระดับสูงมากแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะละทิ้งการทำ Deep Listening โดยคุณกระทิงเองนั้น บริหารพนักงานที่ KBTG มากถึง 2,100 คน และจัดกิจกรรมทำ Deep Listening อยู่อย่างสม่ำเสมอเพื่อเข้าใจพนักงาน
Innovation จะเกิดได้จาก empathy การฟัง ไม่ว่าจะเป็นการฟังลูกค้าหรือพนักงานในองค์กรก็ตาม ที่ KBTG เองมี innovation runway โดย product ต่าง ๆ ที่ประสบความสำเร็จ เช่น MAKE หรือ ขุนทองนั้น เกิดขึ้นจากพนักงานในองค์กรที่เข้าใจถึง context ของผู้ใช้ ที่มีอายุ demographics ใกล้เคียงกัน โดยคุณกระทิงได้กล่าวว่า การที่จะให้คนที่เกิดคนละยุค หรือไม่ได้มีความเข้าใจใน demographic users มาสร้าง innovation ก็คงจะไม่ตอบโจทย์กับกลุ่มเป้าหมายเท่ากับคนที่อยู่ใน demographic เหล่านั้น
ผู้นำที่จะสามารถ transform องค์กรได้นั้น ควรจะ envision และมีภาพที่ชัดเจนในการบริหารองค์กร โดยผู้นำนั้นจะเป็น strategy planner โดยการวางแผนการดำเนินงานที่ทำให้ vision นั้นกลายเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง
โดยคุณกระทิงได้กล่าวว่า การเริ่มต้นด้วยคณิตศาตร์ และจบด้วยภาษาศาสตร์’ หมายถึง การที่ผู้นำไม่ควรละเลยการคำนวน ทุกอย่างควรทำตามหลักการทางคณิตศาสตร์ หรือตามความเป็นจริงจากข้อมูล อย่ามี bias ในการตัดสินใจ เพื่อสร้าง strategy ที่เหมาะสมต่อองค์กรมากที่สุด
เมื่อได้ strategy ที่เหมาะสมแล้ว การที่จะ communicate vision และ strategy ให้กับคนในองค์กรได้นั้น ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากเช่นกัน โดยคุณกระทิงได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับ “การเล่าเรื่องที่จะต้องเปลี่ยนจังหวะการเต้นของหัวใจของคนฟังให้ได้” เพราะการที่คนเชื่อและเห็นภาพเดียวกับเราจะสามารถทำให้เขาเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้สามารถไปถึงเป้าหมายได้
และ “the best communication is over communication” สำหรับการที่จะทำให้ทุกคนในองค์กรเห็นความสำคัญและเข้าใจถึง vision ขององค์กรนั้น ควรเน้นย้ำอย่างสม่ำเสมอ พูดเรื่องเดิม ๆ ซ้ำ ๆ โดยไม่เหนื่อย เพราะ everyday is a battle สำหรับการสร้างการเปลี่ยนแปลงเนื่องจาก “การเปลี่ยนแปลงนั้นไม่มีวันสิ้นสุด”
การสร้าง culture ในองค์กรก็ไม่มีรูปแบบที่ตายตัวเช่นเดียวกัน โดยคุณกระทิงได้เน้นให้เข้าใจว่า บางคนอาจได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับ Netflix หรือ Google และอยากจะเปลี่ยน culture ทุกอย่างให้เหมือนกับที่นั่นได้ แต่ความจริงแล้ว transformation ของ culture นั้นไม่ควรเป็นการ force-fit culture การสร้าง culture ที่ดีนั้น คือการสร้าง “a culture and work environment that can transform everyone into A players”
และสำหรับใครที่สนใจเนื้อหาสุด exclusive เช่นนี้ สามารถติดตามได้ในหลักสูตร Chief Exponential Officer by Disrupt ที่จะส่งเสริมให้ท่านกลายเป็น The Next Chief Exponential Officer เพื่อบริหารองค์กรของท่านได้แบบก้าวกระโดด ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: https://www.disruptignite.com
#CXO #TheNextCXO